สมรรถนะผู้บริหาร
สมรรถนะหลัก
1. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ :ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงานในหน้าที่ให้มีคุณภาพ ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีการพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
1.1 คุณภาพงานด้านความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์
1.2 ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์การนำนวัตกรรม/ทางเลือกใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงาน
1.3 ความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง
4--ผลงานมีความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์เกือบทุกรายการ และเป็นแบบอย่างได้
4--มีการทดลองวิธีการหรือจัดทำคู่มือประกอบการพัฒนางานใหม่ ๆโดย มีการจัดทำรายงานการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน และมีการเผยแพร่ในวงกว้าง
4--มุ่งมั่น กระตือรือร้นในการพัฒนาผลงานทุกรายการที่ได้รับมอบหมายจนปรากฏ ผลงานที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในองค์กรและนอกองค์กรที่เกี่ยวข้อง
2. การบริการที่ดี :ความตั้งใจในการปรับปรุงระบบบริการให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ
2.1 การปรับปรุงระบบบริการ
2.2 ความพึงพอใจของผู้รับบริการหรือผู้เกี่ยวข้อง
4--ศึกษาความต้องการของผู้รับบริการนำข้อมูลมา ปรับปรุงและพัฒนาระบบบริการในเกือบทุกรายการ อย่างต่อเนื่อง
4--ผู้รับบริการร้อยละ 80 ขึ้นไป มีความพึงพอใจระดับมาก
3. การพัฒนาตนเอง :การศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ ติดตามองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆในวงวิชาการและวิชาชีพ เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนางาน
3.1 การศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ด้วยการเข้าประชุมทางวิชาการอบรม สัมมนา หรือวิธีการอื่น ๆ
3.2 การรวบรวมและประมวลความรู้ในการพัฒนาองค์กรและวิชาชีพ
3.3 การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านวิชาการในหมู่เพื่อนร่วมงาน
4--มีชั่วโมงเข้าประชุม อบรม สัมมนาไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง/ปี และมีการจัดทำเอกสารนำเสนอต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อย 2 รายการ/ปี
4--มีการสังเคราะห์ข้อมูลความรู้ จัดเป็นหมวดหมู่ ปรับปรุงให้ทันสมัย รวบรวมองค์ความรู้สำคัญ เพื่อใช้ในการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
4--เข้าประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในหน่วยงาน ร้อยละ 80 ขึ้นไปของจำนวนกิจกรรมที่หน่วยงานจัด
4. การทำงานเป็นทีม :การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือสนับสนุน เสริมแรง ให้กำลังใจแก่เพื่อนร่วมงาน การปรับตัวเข้ากับบุคคลอื่นหรือ แสดงบทบาทผู้นำ ผู้ตามได้อย่างเหมาะสม
4.1 การให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อนร่วมงาน
4.2 การแสดงบทบาทผู้นำหรือผู้ตามได้อย่างเหมาะสม
4.3 การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และกลุ่มคนที่หลากหลาย
4.4 การเสริมแรง ให้กำลังใจส่งเสริม สนับสนุนเพื่อนร่วมงานในการปฏิบัติงาน
4--ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุน เพื่อนร่วมงาน สม่ำเสมอเกือบทุกครั้ง
4--แสดงบทบาทผู้นำ/ผู้ตามในการทำงานร่วมกับผู้อื่น อย่างเหมาะสมเกือบทุกโอกาส/สถานการณ์
4--ใช้ทักษะการบริหารจัดการในการทำงานร่วมกับบุคคล หรือคณะบุคคลในหน่วยงานของตนและต่างหน่วยงานได้ทุกกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพในเกือบทุกสถานการณ์
4--ให้เกียรติ ยกย่อง ชมเชย ให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานในโอกาสที่เหมาะสม เกือบทุกครั้ง
สมรรถนะสายงาน
5. การวิเคราะห์และสังเคราะห์ :ความสามารถในการทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ แล้วแยกประเด็นเป็นส่วนย่อยตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่กำหนด
สามารถรวบรวมสิ่งต่างๆ จัดทำอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน รวมทั้ง สามารถวิเคราะห์องค์กรหรืองานในภาพรวมและดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
5.1 การวิเคราะห์สภาพปัจจุบันปัญหา ความต้องการของงานและเสนอทางเลือกหรือแนวทางป้องกัน แก้ไขปัญหางานในความรับผิดชอบ
5.2 ความเหมาะสมของแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบ
5.3 ความคิดเชิงระบบในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน
4--ระบุสภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการของงาน และแนวทางการป้องกัน แก้ไขปัญหาที่หลากหลายและปฏิบัติได้ โดยมีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
4--องค์ประกอบของแผนงาน/โครงการมีความสอดคล้องสัมพันธ์กันทุกองค์ประกอบและสอดคล้องกับนโยบาย/ ยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กร และมีการระบุตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างชัดเจน
4--มีการวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย ภาวะคุกคาม หรือโอกาสความสำเร็จของงานหรือองค์กร จัดทำแผนงาน/โครงการรองรับ ดำเนินกิจกรรมและประเมินผลการแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน โดยนำผลการประเมินไปใช้พัฒนางานอย่างต่อเนื่อง
6. การสื่อสารและจูงใจ :ความสามารถในการพูด เขียนสื่อสาร โต้ตอบ ในโอกาสและสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจน สามารถชักจูง โน้มน้าวให้ผู้อื่น เห็นด้วย ยอมรับคล้อยตาม เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของการสื่อสาร
6.1 ความสามารถในการพูด และเขียนในโอกาสต่าง ๆ
6.2 ความสามารถในการสื่อสารผ่านสื่อเทคโนโลยี
6.3 ความสามารถในการจูงใจโน้มน้าวให้ผู้อื่นเห็นด้วยยอมรับ คล้อยตาม เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของการสื่อสาร
4--พูด เขียน สื่อสาร โต้ตอบ ในโอกาสต่างๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนเกือบทุกครั้ง
4--สามารถสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และสามารถนำเสนอผลงานโดยใช้สื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้ด้วยตนเอง
4--สามารถนำเสนอข้อมูลสารสนเทศในด้านแนวคิด หลักวิชาเพื่อพูดโน้มน้าว พูดจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตามเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของการสื่อสาร เกือบทุกสถานการณ์
7. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร :ความสามารถในการให้คำปรึกษาแนะนำ และช่วยแก้ปัญหาให้แก่เพื่อนร่วมงานและผู้เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการพัฒนา บุคลากร ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนและ ให้โอกาสผู้ร่วมงานได้พัฒนา ในรูปแบบต่าง ๆ
7.1 การให้คำปรึกษา แนะนำและช่วยแก้ปัญหาแก่เพื่อนร่วมงานและผู้เกี่ยวข้อง
7.2 การมีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากร
7.3 ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างและสร้างเครือข่ายพัฒนาบุคลากร
7.4 การส่งเสริม สนับสนุนและให้โอกาสเพื่อนร่วมงานได้พัฒนาในรูปแบบ ต่าง ๆ
4--ให้คำแนะนำ เสนอทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่สมเหตุสมผลหลากหลาย เป็นไปได้ จนเพื่อนร่วมงานสามารถแก้ปัญหาได้เกือบทุกครั้ง จนเป็นที่พึ่งของเพื่อนร่วมงานในองค์กร
4--ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมตัดสินใจในกระบวนการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน อย่างต่อเนื่อง
4--เป็นแบบอย่างและร่วมสร้างเครือข่ายการพัฒนาบุคลากรระดับเขตพื้นที่ และระดับประเทศ
4--จัดกิจกรรม/โครงการ/สนับสนุนให้เพื่อนร่วมงานและผู้เกี่ยวข้องได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพ อย่างหลากหลายและต่อเนื่อง
8. การมีวิสัยทัศน์ :ความสามารถในการกำหนดวิสัยทัศน์ทิศทาง หรือ แนวทาง การพัฒนาองค์กรที่เป็นรูปธรรม เป็นที่ ยอมรับ และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ การยอมรับแนวคิด/วิธีการใหม่ ๆ เพื่อ การพัฒนางาน
8.1 การใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ หรือทิศทางการพัฒนาองค์กร
8.2 ความทันสมัยและสร้างสรรค์ของวิสัยทัศน์หรือทิศทางการพัฒนางาน และความสอดคล้องกับนโยบายขององค์กรที่สังกัด
8.3 ความเป็นรูปธรรมความเป็นไปได้ หรือโอกาสความสำเร็จตามวิสัยทัศน์
8.4 การยอมรับการปรับเปลี่ยนเทคนิควิธีการ เมื่อสถานการณ์แวดล้อมเปลี่ยนไป
4--เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้เกี่ยวข้องร้อยละ 80 ขึ้นไป มีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์หรือทิศทางการพัฒนาองค์กร
4--วิสัยทัศน์/ทิศทางการพัฒนางาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ค่านิยมมีความชัดเจน ทันสมัย สอดคล้องกับนโยบายของหน่วยงานที่สังกัดมีการวิเคราะห์ ทบทวนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
4--พันธกิจและวัตถุประสงค์ในการพัฒนางาน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์พร้อมทั้งกำหนดยุทธศาสตร์หรือแนวทางการพัฒนางานที่เป็นรูปธรรมมีแผนงาน/โครงการหรือกิจกรรมรองรับ อย่างครอบคลุมและชัดเจน
4--มีการวิเคราะห์ ทบทวนภาวะแวดล้อมขององค์กรอย่างต่อเนื่องแสวงหาข้อมูล เปิดใจรับ/กระตุ้น/ส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนเทคนิควิธีการทำงาน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ขอบคุณ อ.วิรัตน์ ผดุงชีพ (ขงเบ้งแห่งอุษาคเนย์) 087-868-7956 www.khongbeng.com
อ.ประยูร มังกร (ครูถัง) 080-007-0275 www.kruthsang.com
ผอ.พรชัย นาชัยเวียง http://www.kruthailand.net/
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
การบริหารงานบุคคลการ
บริหารงานบุคคล หมายถึง วิธีการจัดการหรือดำเนินการเกี่ยวกับบุคคลในการทำงานในอันที่จะทำให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสมกับการปฏิบัติงานให้บรรลุอย่างมีประสิทธิภาพหรือศาสตร์ แขนงหนึ่งที่ว่าด้วยการดำเนินการหรือการจัดการเกี่ยวกับบุคคลในหน่วยงานความสำคัญของการบริหารงานบุคคลการบริหารงานบุคคลนั้นจะประกอบขึ้นไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ อยู่ 2 ส่วน คือ
คนและงาน ดังนั้นการบริหารงานบุคคลมีความสำคัญคือ
1. คนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหารงาน เนื่องจากคนเป็นผู้ทำให้เกิดความสำเร็จ
2. การทำงานจำเป็นจะต้องเลือกคนเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะกับงานและรู้จักใช้คนอย่างมีประสิทธิภาพองค์ประกอบของการบริหารงานบุคคล
1. องค์กรและสิ่งแวดล้อม
2. งาน
3. บุคคลกระบวนการบริหารงานบุคคล
1. การสรรหาบุคคล ได้แก่ การวางแผน การกำหนดตำแหน่ง และการสรรหา( เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด)
2. การใช้บุคคล ได้แก่ การบรรจุแต่งตั้ง การย้าย การโอน
3. การพัฒนาบุคคล ได้แก่ การพัฒนา การพิจารณาความดี ความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง
4. การธำรงรักษาบุคคล ได้แก่ การดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ ร้องทุกข์ การจัดสวัสดิการ การทะเบียนประวัติสรุป หา ใช้ พัฒนา ธำรงรักษาระบบการบริหารงานบุคคล
ระบบการบริหารงานบุคคลที่สำคัญมี 2 ระบบ คือ
1. ระบบอุปถัมภ์ ( Patronage System ) ใช้มาตั้งแต่โบราณ สามารถแบ่งออกได้
3 ลักษณะ คือ
1. ระบบสืบสายโลหิต
2. ระบบแลกเปลี่ยน นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน
3. ระบบชอบพอกันพิเศษ
2. ระบบคุณธรรม ( Merit System ) บางแห่งเรียกใช้คำว่า ระบบคุณวุฒิ
- ระบบความรู้ ความสามารถ
- ระบบคุณความดี
– ระบบความดีและความสามารถ
มีหลักสำคัญ 4 ประการ คือ
1. หลักความสามารถ ( Put the right man on the right job )
2. หลักความเสมอภาค
–เปิดโอกาสให้เท่าเทียมกัน( Equal Pay for Equal Work )
3. หลักความมั่นคง
-หลักประกันในการทำงาน
4. หลักความเป็นกลางทางการเมืองภาคราชการนิยมใช้ ระบบคุณธรรมภาคธุรกิจ นิยมใช้ ระบบคุณธรรมและระบบอุปถัมภ์ขอบข่ายในการบริหารงานบุคคล
1. การดำเนินการเกี่ยวกับความต้องการบุคคลในราชการ
2. การสรรหาบุคลากรเข้ารับราชการ ได้แก่ การสอบแข่งขัน,การคัดเลือก,การสอบคัดเลือก
3. การแต่งตั้ง ได้แก่การบรรจุและแต่งตั้ง การย้าย การโอน การเลื่อนตำแหน่ง
4. การพัฒนาบุคลากร ได้แก่การฝึกอบรม
5. การพิจารณาความดีความชอบ
6. การรักษาระเบียบวินัย
7. การออกจากราชการ
8. การอุทธรณ์และการร้องทุกข์
9. การจัดทำทะเบียนประวัติ
10. การให้บริการเกี่ยวกับงานบุคคล
ที่มาhttp://krusukhothai.blogspot.com/2009_06_01_archive.html
บริหารงานบุคคล หมายถึง วิธีการจัดการหรือดำเนินการเกี่ยวกับบุคคลในการทำงานในอันที่จะทำให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะสมกับการปฏิบัติงานให้บรรลุอย่างมีประสิทธิภาพหรือศาสตร์ แขนงหนึ่งที่ว่าด้วยการดำเนินการหรือการจัดการเกี่ยวกับบุคคลในหน่วยงานความสำคัญของการบริหารงานบุคคลการบริหารงานบุคคลนั้นจะประกอบขึ้นไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ อยู่ 2 ส่วน คือ
คนและงาน ดังนั้นการบริหารงานบุคคลมีความสำคัญคือ
1. คนเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหารงาน เนื่องจากคนเป็นผู้ทำให้เกิดความสำเร็จ
2. การทำงานจำเป็นจะต้องเลือกคนเพื่อให้ได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถเหมาะกับงานและรู้จักใช้คนอย่างมีประสิทธิภาพองค์ประกอบของการบริหารงานบุคคล
1. องค์กรและสิ่งแวดล้อม
2. งาน
3. บุคคลกระบวนการบริหารงานบุคคล
1. การสรรหาบุคคล ได้แก่ การวางแผน การกำหนดตำแหน่ง และการสรรหา( เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด)
2. การใช้บุคคล ได้แก่ การบรรจุแต่งตั้ง การย้าย การโอน
3. การพัฒนาบุคคล ได้แก่ การพัฒนา การพิจารณาความดี ความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง
4. การธำรงรักษาบุคคล ได้แก่ การดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ ร้องทุกข์ การจัดสวัสดิการ การทะเบียนประวัติสรุป หา ใช้ พัฒนา ธำรงรักษาระบบการบริหารงานบุคคล
ระบบการบริหารงานบุคคลที่สำคัญมี 2 ระบบ คือ
1. ระบบอุปถัมภ์ ( Patronage System ) ใช้มาตั้งแต่โบราณ สามารถแบ่งออกได้
3 ลักษณะ คือ
1. ระบบสืบสายโลหิต
2. ระบบแลกเปลี่ยน นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน
3. ระบบชอบพอกันพิเศษ
2. ระบบคุณธรรม ( Merit System ) บางแห่งเรียกใช้คำว่า ระบบคุณวุฒิ
- ระบบความรู้ ความสามารถ
- ระบบคุณความดี
– ระบบความดีและความสามารถ
มีหลักสำคัญ 4 ประการ คือ
1. หลักความสามารถ ( Put the right man on the right job )
2. หลักความเสมอภาค
–เปิดโอกาสให้เท่าเทียมกัน( Equal Pay for Equal Work )
3. หลักความมั่นคง
-หลักประกันในการทำงาน
4. หลักความเป็นกลางทางการเมืองภาคราชการนิยมใช้ ระบบคุณธรรมภาคธุรกิจ นิยมใช้ ระบบคุณธรรมและระบบอุปถัมภ์ขอบข่ายในการบริหารงานบุคคล
1. การดำเนินการเกี่ยวกับความต้องการบุคคลในราชการ
2. การสรรหาบุคลากรเข้ารับราชการ ได้แก่ การสอบแข่งขัน,การคัดเลือก,การสอบคัดเลือก
3. การแต่งตั้ง ได้แก่การบรรจุและแต่งตั้ง การย้าย การโอน การเลื่อนตำแหน่ง
4. การพัฒนาบุคลากร ได้แก่การฝึกอบรม
5. การพิจารณาความดีความชอบ
6. การรักษาระเบียบวินัย
7. การออกจากราชการ
8. การอุทธรณ์และการร้องทุกข์
9. การจัดทำทะเบียนประวัติ
10. การให้บริการเกี่ยวกับงานบุคคล
ที่มาhttp://krusukhothai.blogspot.com/2009_06_01_archive.html
การวางแผนอัตรากำลัง หมายความว่า การกำหนดว่าหน่วยงานนั้นต้องการกำลังคน หรือตำแหน่งประเภทไหน จำนวนเท่าไร โดยคิดคำนวณคนให้พอดีกับการปฏิบัติงาน ในระบบราชการมักมีการวางแผนอัตรากำลังล่วงหน้า คือเป็นรายปี หรือราย 3 ปี หรือ 9 ปีการวางแผนกำลังคนสำหรับข้าราชการครู
1. ความสำคัญเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องจำนวนและคุณภาพของข้าราชการครูในสถานศึกษา
2. ปัญหาในการวางแผนอัตรากำลังคน ขาดความรู้ทางหลักวิชา ขาดข้อมูลข่าวสาร นโยบาย เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของรัฐไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง มีการนำผลประโยชน์ส่วนตัวมาใช้ในการวางแผน ขาดปัจจัยสำคัญในการบริหาร เช่น เงินวัสดุ ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนอัตรากำลังคน
3. วัตถุประสงค์- สร้างต้นแบบการวางแผนอัตรากำลัง- สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษานำต้นแบบการวางแผนกำลังคนไปใช้
4. แนวคิดในการวางแผนกำลังคน ยึดหลักการจำนวนกำลังคนที่ต้องการมากขึ้น จำนวนคนที่ต้องการทั้งหมด
– จำนวนคนที่มีอยู่จริงกระบวนการวางแผนกำลังคนมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
1. กำลังคนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ข้อมูลปริมาณ คุณภาพ
2. การคาดการณ์กำลังคนในอนาคต เช่น ความชำนาญงาน พื้นฐานการศึกษาและประสบการณ์
3. กำลังคนเพิ่มขึ้นการกำหนดปริมาณงานในสถานศึกษา
1) ปริมาณงานด้านการบริหารสถานศึกษา มีผู้อำนวยการสถานศึกษากับรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
2) ปริมาณงานด้านการสอน เกณฑ์ข้อมูล 10 มิถุนายนของทุกปี สถิตินักเรียนของสถานศึกษา จำนวนชั่วโมงงานสอนในหนึ่งสัปดาห์ของข้าราชการครูและครูอัตราจ้าง
3) ปริมาณอื่น ชั่วโมงปฏิบัติงานสนับสนุนการสอนในหนึ่งสัปดาห์ เป็นต้นเกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังครู
1. เกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังครูสายการสอนในสถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษาและมัธยมศึกษากรณีที่ 1 โรงเรียนที่มีนักเรียน 120 คนลงมา ( 20 : 1 )รายการ นักเรียน 20 คนลงมา
21-40 คน ผู้สอน 2
41-60 คน 3
61-80 คน 4
81-100 คน 5
101-120 คน 6
กรณีที่ 2 โรงเรียนที่มีนักเรียน 121 คนขึ้นไประดับก่อนประถมศึกษา = ( ห้องเรียน x 30 ) + นักเรียนทั้งหมด (0.5 ขึ้นไป เพิ่ม 1 คน )50ระดับประถมศึกษา = ( ห้องเรียน x 40 ) + นักเรียนทั้งหมด (0.5 ขึ้นไป เพิ่ม 1 คน )50ระดับมัธยมศึกษา = จำนวนห้องเรียน x 2เงื่อนไข- คิดจำนวนห้องเรียนแต่ละชั้น หากมีเศษตั้งแต่ 10 คนขั้นไป ให้เพิ่มอีก 1 ห้อง- การคิดจำนวนครูให้ปัดเศษตามหลักคณิตศาสตร์
2. เกณฑ์อัตรากำลังสายผู้บริหารสถานศึกษากรณีที่ 1 โรงเรียนมีนักเรียนต่ำกว่า 360 คน มีผู้บริหาร 1 คนกรณีที่ 2 โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 360 คนขึ้นไป จำนวนนักเรียน จำนวนผู้บริหาร รวมทั้งสิ้น
ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
360-719 1 1 2
720-1,079 1 2 3
1,080-1,679 1 3 4
1,680 ขึ้นไป 1 4 5
ที่มาhttp://krusukhothai.blogspot.com/2009_06_01_archive.html
1. ความสำคัญเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องจำนวนและคุณภาพของข้าราชการครูในสถานศึกษา
2. ปัญหาในการวางแผนอัตรากำลังคน ขาดความรู้ทางหลักวิชา ขาดข้อมูลข่าวสาร นโยบาย เป้าหมาย วัตถุประสงค์ของรัฐไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง มีการนำผลประโยชน์ส่วนตัวมาใช้ในการวางแผน ขาดปัจจัยสำคัญในการบริหาร เช่น เงินวัสดุ ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนอัตรากำลังคน
3. วัตถุประสงค์- สร้างต้นแบบการวางแผนอัตรากำลัง- สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษานำต้นแบบการวางแผนกำลังคนไปใช้
4. แนวคิดในการวางแผนกำลังคน ยึดหลักการจำนวนกำลังคนที่ต้องการมากขึ้น จำนวนคนที่ต้องการทั้งหมด
– จำนวนคนที่มีอยู่จริงกระบวนการวางแผนกำลังคนมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
1. กำลังคนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ข้อมูลปริมาณ คุณภาพ
2. การคาดการณ์กำลังคนในอนาคต เช่น ความชำนาญงาน พื้นฐานการศึกษาและประสบการณ์
3. กำลังคนเพิ่มขึ้นการกำหนดปริมาณงานในสถานศึกษา
1) ปริมาณงานด้านการบริหารสถานศึกษา มีผู้อำนวยการสถานศึกษากับรองผู้อำนวยการสถานศึกษา
2) ปริมาณงานด้านการสอน เกณฑ์ข้อมูล 10 มิถุนายนของทุกปี สถิตินักเรียนของสถานศึกษา จำนวนชั่วโมงงานสอนในหนึ่งสัปดาห์ของข้าราชการครูและครูอัตราจ้าง
3) ปริมาณอื่น ชั่วโมงปฏิบัติงานสนับสนุนการสอนในหนึ่งสัปดาห์ เป็นต้นเกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังครู
1. เกณฑ์มาตรฐานอัตรากำลังครูสายการสอนในสถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษาและมัธยมศึกษากรณีที่ 1 โรงเรียนที่มีนักเรียน 120 คนลงมา ( 20 : 1 )รายการ นักเรียน 20 คนลงมา
21-40 คน ผู้สอน 2
41-60 คน 3
61-80 คน 4
81-100 คน 5
101-120 คน 6
กรณีที่ 2 โรงเรียนที่มีนักเรียน 121 คนขึ้นไประดับก่อนประถมศึกษา = ( ห้องเรียน x 30 ) + นักเรียนทั้งหมด (0.5 ขึ้นไป เพิ่ม 1 คน )50ระดับประถมศึกษา = ( ห้องเรียน x 40 ) + นักเรียนทั้งหมด (0.5 ขึ้นไป เพิ่ม 1 คน )50ระดับมัธยมศึกษา = จำนวนห้องเรียน x 2เงื่อนไข- คิดจำนวนห้องเรียนแต่ละชั้น หากมีเศษตั้งแต่ 10 คนขั้นไป ให้เพิ่มอีก 1 ห้อง- การคิดจำนวนครูให้ปัดเศษตามหลักคณิตศาสตร์
2. เกณฑ์อัตรากำลังสายผู้บริหารสถานศึกษากรณีที่ 1 โรงเรียนมีนักเรียนต่ำกว่า 360 คน มีผู้บริหาร 1 คนกรณีที่ 2 โรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่ 360 คนขึ้นไป จำนวนนักเรียน จำนวนผู้บริหาร รวมทั้งสิ้น
ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
360-719 1 1 2
720-1,079 1 2 3
1,080-1,679 1 3 4
1,680 ขึ้นไป 1 4 5
ที่มาhttp://krusukhothai.blogspot.com/2009_06_01_archive.html
การบริหารงานทั่วไป
งานสารบรรณ ( ต่อ )
หนังสือที่ต้องปฏิบัติให้เร็วกว่าปกติเป็นหนังสือที่จะต้องจัดส่งหรือดำเนินการทางสารบรรณด้วยความเร็วเป็นพิเศษ แบ่งได้ 3 ประเภทคือ
1. ด่วนที่สุด ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติทันทีเมื่อได้รับหนังสือนั้น
2. ด่วนมาก ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติโดยเร็ว
3. ด่วน ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเร็วกว่าปกติเท่าที่จะทำได้ให้ระบุชั้นความเร็วด้วยอักษรสีแดง ขนาดไม่เล็กกว่า ตัวพิมพ์โป้ง 32 พอยท์ให้เห็นชัดเจนบนหนังสือหรือบนซองในกรณีที่ที่อย่างให้หนังสือถึงมือผู้รับตามกำหนดให้ลงคำว่า ด่วนภายใน แล้วลงวันเดือน ปีและกำหนดเวลาที่ต้องการให้หนังสือนั้นไปถึงผู้รับ กับให้เจ้าหน้าที่ส่งถึงผู้รับซึ่งระบุหน้าซองภายในเวลาที่กำหนดหนังสือที่ต้องการให้ส่วนราชการอื่นทราบด้วย ให้รับรองหนังสือว่า สำเนาถูกต้อง ให้เจ้าหน้าที่ระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไปรับรองเรื่องราชการที่จะดำเนินการหรือสั่งการด้วยหนังสือได้ไม่ทันให้ส่งข้อความทางเครื่องมือสื่อสารเช่น โทรเลข วิทยุโทรเลข โทรพิมพ์วิทยุ สื่อสาร วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ เป็นต้นและให้ผู้รับ ปฏิบัติเช่นเดียวกับได้รับหนังสือ ในกรณีที่จำเป็นต้องยืนยันเป็นหนังสือให้ทำหนังสือยืนยืนตามไปทันทีการส่งข้อความทางเครื่องมือสื่อสารซึ่งไม่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้ง เช่นทางโทรศัพท์ วิทยุสื่อสาร วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ เป็นต้น ให้ผู้ส่งและผู้รับบันทึกข้อความไว้เป็นหลักฐานหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยปกติให้มี ( 3 ฉบับ )
1. ฉบับจริง
2. สำเนาคู่ฉบับเก็บไว้ที่ต้นเรื่อง 1 ฉบับ
3. สำเนาเก็บไว้ที่หน่วยงานสารบรรณกลาง 1 ฉบับ( สำเนาคู่ฉบับให้ผู้ลงชื่อลงลายมือชื่อ หรือลายมือชื่อย่อ และให้ผู้ร่าง ผู้พิมพ์ และผู้ตรวจ ลงลายมือชื่อหรือลายมือชื่อย่อไว้ที่ข้างล่างด้านขวาของหนังสือ )หนังสือที่เจ้าของหนังสือเห็นว่า มีส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องควรได้รับทราบด้วยโดยปกติให้ส่งสำเนาไปให้ทราบด้วยโดยทำเป็นหนังสือประทับตรา( สำเนาหนังสือนี้ให้คำรับรองว่า สำเนาถูกต้อง โดยให้เจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับ 2 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องลงลายมือชื่อรับรอง พร้อมทั้งลงชื่อตัวบรรจง และตำแหน่งที่ขอบล่างของหนังสือหนังสือเวียน คือหนังสือที่มีถึงผู้รับเป็นจำนวนมาก มีใจความอย่างเดียวกัน ให้เพิ่มรหัสตัวพยัญชนะ ว หน้าเลขทะเบียนหนังสือส่ง ซึ่งกำหนดเป็นตัวเลขที่หนังสือเวียนโดยเฉพาะเริ่มตั้งแต่เลข 1 เรียงเป็นลำดับไปจนถึงปีปฏิทิน หรือใช้เลขที่ของหนังสือทั่วไปตามแบบหนังสือภายนอกหนังสือต่างประเทศ ให้ใช้กระดาษตราครุฑ หนังสือที่เป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษให้ใช้ตามประเพณีนิยมหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. หนังสือที่ลงชื่อ- หนังสือที่เป็นแบบพิธี (ใช้ติดต่อทางการทูต ระหว่างส่วนราชการไทยกับส่วนราชการต่างประเทศ)- หนังสือที่ไม่เป็นแบบพิธี ( ใช้ติดต่อระหว่างส่วนราชการไทยกับส่วนราชการต่างประเทศ)- หนังสือกลาง ( หนังสือที่ใช้สรรพนามบุรุษที่ 3 และประทับตราส่วนราชการ)
2. หนังสือที่ไม่ลงชื่อ- บันทึกช่วยจำ ( ยืนยันข้อความที่ได้สนทนา)- บันทึก ( แถลงรายละเอียด หรือข้อเท็จจริง)การรับและส่งหนังสือการรับหนังสือ ขั้นตอนการรับหนังสือ1. จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของหนังสือ2. ลงทะเบียนตรารับหนังสือที่มุมด้านบนของหนังสือ
3. ลงทะเบียนรับหนังสือในทะเบียนหนังสือรับ4. จัดแยกหนังสือที่ลงทะเบียนรับแล้ว ส่งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยให้ลงชื่อหน่วยงานที่รับหนังสือนั้นในช่อง การปฏิบัติถ้ามีชื่อบุคคล หรือตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการรับหนังสือให้ลงชื่อหรือตำแหน่งไว้ด้วยการส่งหนังสือขั้นตอนการส่งหนังสือ
1. ให้เจ้าของเรื่องตรวจสอบความเรียบร้อยของหนังสือ รวมทั้งสิ่งที่จะส่งไปด้วยให้ครบถ้วนแล้วส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสารบรรณกลางเพื่อส่งออก
2. เมื่อเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสารบรรณกลางได้รับเรื่องแล้ว ให้ปฏิบัติ ดังนี้
- ลงทะเบียนส่งหนังสือในทะเบียนหนังสือ
- ข้อสอบ**จำให้ได้ลงเลขที่ และวัน เดือน ปี ในหนังสือที่จะส่งออกทั้งในต้นฉบับและสำเนาคู่ฉบับให้ตรงกับเลขทะเบียนส่ง และวัน เดือน ปี ในทะเบียนหนังสือส่ง
- ก่อนบรรจุซองให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานสารบรรณกลางตรวจความเรียบร้อยของหนังสือตลอดจนสิ่งที่ส่งไปด้วยอีกครั้งหนึ่ง แล้วปิดผนึก- หนังสือที่ไม่มีความสำคัญมากนัก อาจส่งไปโดยวิธีพับยึดติดด้วยแถบกาวเย็บด้วยลวด หรือวิธีอื่นแทนการบรรจุซองการส่งหนังสือโดยทางไปรษณีย์ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ หรือวิธีการที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยกำหนด
- การส่งหนังสือซึ่งมิใช่เป็นการส่งโดยการไปรษณีย์ เมื่อส่งหนังสือให้ผู้รับแล้ว ผู้ส่งต้องให้ผู้รับลงชื่อรับในสมุดส่งหนังสือหรือใบรับแล้วแต่กรณี
- ถ้าเป็นใบรับให้นำใบรับนั้นมาผนึกติดไว้ที่สำเนาคู่ฉบับวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยมาว่ากันต่อ
การบริหารทั่วไป
จะเสนอเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป ซึ่งวันนี้จะสรุปเกี่ยวกับงานสารบรรณ ก็หวังว่าทุกท่านที่อ่านจะเข้าใจง่ายและสามารถนำไปใช้ได้ ก็เริ่มเลยละกันระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 ( ฉ.2 พ.ศ.2548 )
งานสารบรรณ หมายถึง งานที่เกี่ยวกับการบริหารเอกสาร เริ่มตั้งแต่ การจัดทำ การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลายหนังสือราชการ มี 6 ชนิด
1. หนังสือภายนอก คือ หนังสือที่ติดต่อราชการเป็นแบบพิธี โดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือที่ติดต่อระหว่างส่วนราชการกับส่วนราชการ หรือส่วนราชการถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือส่วนราชการถึงบุคคลภายนอก
2. หนังสือภายใน คือหนังสือ ที่ติดต่อราชการเป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก เป็นหนังสือที่ติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ใช้กระดาษบันทึกข้อความ
3. หนังสือประทับตรา คือหนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อ ของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปเป็นผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตรา หนังสือประทับตราให้ใช้ได้ทั้งส่วนราชการกับส่วนราชการและส่วนราชการกับบุคคลภายนอก ( เฉพาะในกรณีไม่ใช่เรื่องสำคัญ) เช่น- การขอรายละเอียดเพิ่มเติม- การส่งสำเนาหนังสือ สิ่งของ เอกสารหรือบรรณสาร- การตอบรับทราบที่ไม่เกี่ยวกับราชการสำคัญ หรือการเงิน- การแจ้งผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ- การเตือนเรื่องที่ค้าง- เรื่องซึ่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปกำหนดโดยทำเป็นคำสั่งให้ใช้หนังสือประทับตรา4. หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด
1. คำสั่ง คือบรรดาที่ข้อความที่ผู้บังคับบัญชา สั่งให้ปฏิบัติ โดยชอบด้วยกฎหมายใช้กระดาษตราครุฑ
2. ระเบียบ คือบรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ได้วางเอาไว้ โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็ได้ เพื่อถือเป็นหลักปฏิบัติงานเป็นประจำ ใช้กระดาษตราครุฑ
3. ข้อบังคับ คือ บรรดาข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ กำหนดให้ใช้ โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่บัญญัติให้กระทำได้ ใช้กระดาษตราครุฑ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ประกาศ คือบรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศ หรือชี้แจงให้ทราบ หรือแนวทางปฏิบัติ ใช้กระดาษตราครุฑ
2. แถลงการณ์ คือบรรดาข้อความที่ทางราชการแถลงเพื่อทำความเข้าใจ ในกิจกรรมของทางราชการหรือเหตุการณ์หรือกรณีใดๆให้ทราบชัดเจนโดยทั่วกันใช้กระดาษตราครุฑ
3. ข่าว คือบรรดาที่ข้อความที่ทางราชการเห็นสมควรเผยแพร่ให้ทราบ ไม่ใช้กระดาษตราครุฑ
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ มี ดังนี้
1. หนังสือรับรอง คือหนังสือที่ส่วนราชการออกให้เพื่อรับรองแก่บุคคล นิติบุคคลหรือหน่วยงาน เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่ง อย่างใดให้ปรากฏแก่บุคคลโดยทั่วไปไม่จำเพาะเจาะจง ใช้กระดาษตราครุฑ
2. รายงานการประชุม คือบันทึกความคิดเห็นของผู้ประชุมผู้เข้าร่วมประชุมและมติของที่ประชุมไว้เป็นหลักฐาน ไม่ใช้กระดาษตราครุฑ ( ผู้ที่สำคัญที่สุดคือเลขานุการ ,หัวใจสำคัญที่สุดคือระเบียบวาระการประชุม)
3. บันทึก คือข้อความที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเสนอต่อผู้บังคับบัญชา หรือผู้บังคับบัญชาสั่งการแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือข้อความที่เจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานระดับต่ำกว่าส่วนราชการระดับกรมติดต่อกันในการปฏิบัติราชการ โดยปกติให้ใช้กระดาษบันทึกข้อความ4. หนังสืออื่น คือหนังสือหรือเอกสารอื่นใดที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานในทางราชการ ซึ่งรวมถึง ภาพถ่าย ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพและสื่อกลางบันทึกข้อมูลด้วย หรือหนังสือของบุคคลภายนอกที่ยื่นต่อเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ได้รับเข้าทะเบียนรับหนังสือของทางราชการแล้วมีรูปแบบตามที่กระทรวง ทบวง กรมจะกำหนดขึ้นใช้ตามความเหมาะสม เว้นแต่มีแบบตามกฎหมายเฉพาะเรื่องให้ทำตามแบบ เช่นโฉนด แผนที่ แบบ ผนัง สัญญา หลักฐานการสืบสวนและสอบสวน และคำร้อง เป็นต้นสื่อกลางบันทึกข้อมูล หมายถึง สื่อใดๆที่อาจใช้บันทึกข้อมูลได้ด้วยอุปกรณ์ทางอิเลคทรอนิกส์ เช่น แผนบันทึกข้อมูล เทปแม่เหล็ก จานแม่เหล็ก แผ่นซีดี-อ่านอย่างเดียว หรือแผ่นดิจิทัลเอนกประสงค์ เป็นต้น
คุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา
คุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อให้ผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งได้ศึกษาคุณธรรมให้ลึกซึ่ง และสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้คุณธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาธรรมะ ข้อควรประพฤติปฏิบัติหลักธรรม หมวดหมู่แห่งธรรมคุณธรรม ความดีงามในจิตใจซึ่งทำให้เคยชินประพฤติดีธรรมะที่ดีงามที่ควรครองไว้ในใจจริยธรรม ธรรมะที่ดีงามที่แสดงออกทางกายวัฒนธรรม สิ่งดีงามที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาค่านิยม คุณธรรมพื้นฐานที่ยึดถือเป็นวิถีชีวิตมนุษยธรรม
ธรรมะพื้นฐานที่มนุษย์ควรยึดถือปฏิบัติ( ศีล 5 )คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา
- ข้อวัตรที่ผู้บริหารควรศึกษาควรรู้
- ข้อปฏิบัติที่ผู้บริหารควรยึดถือปฏิบัติ
- ข้อความดีที่ผู้บริหารควรนำมาครองใจ
คุณธรรมหลัก 4 ประการ ของอริสโตเติล
1. ความรอบคอบ
2. ความกล้าหาญ
3. การรู้จักประมาณ
4. ความยุติธรรม
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1. การรักษาความสัตย์
2. การรู้จักข่มใจตัวเอง
3. การอดทน อดกลั้นและอดออม
4. การรู้จักละวางความชั่ว
ค่านิยมพื้นฐาน 5 ประการ
1. การพึ่งตนเอง
2. การประหยัดและอดออม
3. การมีระเบียบวินัย
4. การปฏิบัติตามคุณธรรม
5. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ทศพิธราชธรรม
ธรรมของผู้ปกครอง
1. ทาน- การให้
2. ศีล – การควบคุมกายวาจา
3. บริจาค- การเสียสละ 4. อาชวะ – ซื่อตรง
5. มัทวะ – อ่อนโยน 6. ตบะ - ความเพียร7. อักโกธะ- ไม่โกรธ
8. อวิหิงสา- ไม่เบียดเบียน
9. ขันติ – อดทน
10. อวิโรธนะ – ไม่ผิดธรรม
พรหมวิหาร 4
คุณธรรมของท่านผู้เป็นใหญ่
1. เมตตา – รักใคร่
2. กรุณา – สงสาร
3. มุทิตา – พลอยยินดี
4. อุเบกขา – วางเฉยประโยชน์ - ทำให้ผู้อื่นรักใคร่ นับถือ จงรักภักดี- เป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา
อิทธิบาท 4
คุณธรรมเครื่องทำให้ประสบความสำเร็จ
1. ฉันทะ – พอใจ
2. วิริยะ – เพียร
3. จิตตะ-ฝักใฝ่
4. วิมังสา – ตริตรองประโยชน์ - พอใจในงาน ไม่เบื่อ มีความเพียร ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติงานจนสำเร็จ
สังคหวัตถุ 4 คุณธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจคน
1. ทาน – ให้ปัน
2. ปิยวาจา – วาจาอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา – ประพฤติประโยชน์ต่อผู้อื่น
4. สมานัตตา – ไม่ถือตัวประโยชน์ - ทำให้ผู้อื่นรักใคร่ นับถือ ยึดเหนี่ยวน้ำใจผู้อื่น
ธรรมมีอุปการะมาก
- สติสัมปชัญญะ ช่วยไม่ให้เกิดความเสียหาย
- นาถกรณธรรมหรือพหุการธรรม
สัปปุริสธรรม 7 ธรรมของสัตบุรุษ
1. ธัมมัญญุตา รู้จักเหตุ
2. อัตถัญญุตา รู้จักผล
3. อัตตัญญุตา รู้จักตน
4. มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ
5. กาลัญญุตา รู้จักกาล
6. ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน
7. ปุคคลัญญุตา รู้จักคนควรคบ( บุคคล)
ประโยชน์ข้อ 1 – 2 ช่วยให้มีเหตุผลไม่งมงายข้อ 3 – 4 ช่วยให้รู้จักวางตัวเหมาะสมข้อ 5 ช่วยให้เป็นผู้ทันสมัยก้าวหน้าในงานข้อ 6 – 7 ช่วยให้รู้เท่าทันเหตุการณ์
อธิษฐานธรรม
ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ
1. ปัญญา - รอบรู้
2. สัจจะ - ความจริงใจ
3. จาคะ – สละสิ่งที่ไม่จริงใจ
4. อุปสมะ – สงบใจ
ขันติโสรัจจะ – ธรรมอันทำให้งาม ความอดทน สงบเสงี่ยม เป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์หิริโอตตัปปะ – ธรรมเป็นโลกบาลหรือธรรมคุ้มครองโลก
หิริ – ละอายในการทำบาป
โอตตัปปะ – เกรงกลัวต่อบาปและผลแห่งบาป
อคติ 4 - สิ่งที่ไม่ควรประพฤติ
1. ฉันทาคติ - ลำเอียงเพราะรัก
2. โทสาคติ – ลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ - ลำเอียงเพราะเขลา
4. ภยาคติ - ลำเอียงเพราะกลัว
พละ 5 - ธรรมเป็นกำลัง 5 อย่าง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
เบญจธรรม - ศีล 5 ข้อ ควรงดเว้น 5 ประการ ทำให้ก้าวหน้าในชีวิต เกิดความสบายใจไม่ทุกข์ร้อน
นิวรณ์ 5 - ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี
1. กามฉันท์ - ใคร่ในกาม
2. พยาบาท - ปองร้าย
3. ถีนมิทธ - ง่วงเหงา
4. อุทธัจจกุกกุจจะ - ฟุ้งซ่าน
5. วิจิกิจฉา – ลังเล สงสัย
มรรค 8 - แม่บทแห่งการปฏิบัติของบุคคล
1. สัมมาทิฏฐิ - ปัญญาชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา - เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ - ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีวิตชอบ
6. สัมมาวายามะ - เพียรชอบ
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ
8. สัมมาสมาธิ - ตั้งใจชอบ
เวสารัชชกรณธรรม - ธรรมทำความกล้าหาญ 5 อย่าง
1. สัทธา - ทำให้ใจหนักแน่น
2. ศีล - บังคับตนไม่ทำผิด
3. พาหะสัจจะ - ทำงานตามหลักวิชา
4. วิริยารัมภะ - ป้องกันความโลเล5. ปัญญา - ช่วยให้เห็นทางถูกผิด
อภิณหปัจจเวกขณ์
- ธรรมแห่งความไม่ประมาท
- การพิจารณาเป็นประจำในเรื่องความแก่ เจ็บ ตาย การพลัดพราก กรรมทำให้ไม่ประมาทในการสร้างกรรมดีสาราณิยธรรม
- ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงอปริหานิยธรรม
- ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อมฆราวาสธรรม
- ธรรมของผู้ครองเรือน
1. สัจจะ – สัตย์ซื่อแก่กัน
2. ทมะ – รู้จักข่มจิตของตน
3. ขันติ – อดทน
4. จาคะ – สละให้เป็นสิ่งของของตนแก่คนที่ควร
กุศลกรรมบท - ทางแห่งความดี 10 อย่าง
กายสุจริต 3
วจีสุจริต 4
มโนสุจริต 3
ปธาน - ความเพียร 4 อย่าง
1. สังวรปธาน - เพียรไม่ให้เกิดบาป
2. ปหานปธาน - เพียรละบาป
3. ภาวนาปธาน – เพียรให้กุศลเกิด
4. อนุรักษขนาปธาน – เพียรรักษากุศลบุญ
กิริยาวัตถุ 3 - หลักของการทำบุญ
1. ทานมัย – บริจาคทาน
2. ศีลมัย – รักษาศีล
3. ภาวนามัย – เจริญภาวนา
ทิศ 6 - บุคคล 6 ประเภท
1. ปุรัตถิมทิศ - ทิศเบื้องหน้า ( บิดา มารดา )
2. ทักขิณทิศ - ทิศเบื้องขวา ( ครูบา อาจารย์ )
3. ปัจฉิมทิศ - ทิศเบื้องหลัง ( บุตร ภรรยา )
4. อุตตรทิศ - ทิศเบื้องซ้าย ( มิตร สหาย )
5. เหฏฐิมทิศ - ทิศเบื้องต่ำ ( ผู้ใต้บังคับบัญชา บ่าว )
6. อุปริมทิศ - ทิศเบื้องบน ( ผู้บังคับบัญชา สมณพราหมณ์ )
โลกธรรม 8 - ธรรมดาของโลก แบ่งเป็น 2 ฝ่าย
1. อฏฐารมณ์ 4 - ฝ่ายได้ ได้ลาภ ได้ยศ ได้รับการสรรเสริญ ได้สุข
2. อนิฏฐารมณ์ 4 ฝ่ายเสื่อม เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ได้ทุกข์
อริยทรัพย์ 7 - ความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริฐ
1. ศรัทธา
2. ศีล
3. หิริ
4. โอตตัปปะ
5. พาหุสัจจะ
6. จาคะ
7. ปัญญา
อริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณสามัญลักษณะ
ไตรลักษณ์ ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง
1. อนิจจตา ไตรลักษณ์ ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง
2. ทุกขตา ความเป็นทุกข์
3. อนัตตา ความไม่ใช่ของตน
จักรธรรม 4 ธรรมเหมือนวงล้อนำสู่ความเจริญ
1. ปฏิรูปเทสวาหะ อยู่ในประเทศอันควร
2. สัปปุริสูบัสสยะ คบสัตบุรุษ
3. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ
4. ปุพเพกตปุญญตา ทำดีไว้ในปางก่อน
ธรรมะกับหลักการบริหาร
1. นิคัญเห นิคคัญหารหัง ข่มคนที่คนข่ม
2. ปัคคัญเห ปัคคัญหารหัง ยกย่องคนที่ควรยกย่อง
3. ทิฏฐานุคติ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี
การเข้าถึงพระธรรม 3 ขั้น
1. ปริยัติธรรม ศึกษาหลักคำสอน
2. ปฏิบัติธรรม ลงมือปฏิบัติธรรม
3. ปฏิเวชธรรม ได้รับผลวัฒนธรรม
ลักษณะที่แสดงถึงความเจริญ เป็นระเบียบก้าวหน้าและมีศีลธรรมวัฒนธรรมไทย แบ่งออกเป็น 4 อย่าง
1. คติธรรม ทางหรือหลักในการดำเนินชีวิต เกี่ยวกับจิตใจ
2. เนติธรรม เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคล
3. วัตถุธรรม เกี่ยวกับความสะดวกสบายใจในการครองชีพ ปัจจัย 4 ศิลปะ
4. สหธรรม คุณธรรมทำให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ มารยาทประเพณี สิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอารยธรรม ความเจริญที่สูงเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมผู้อื่นจรรยาวิชาชีพ กฎเกณฑ์ความประพฤติ มารยาทในการประกอบอาชีพจรรยาบรรณ ประมวลกฎเกณฑ์ ความประพฤติ มารยาทของผู้ประกอบอาชีพ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ก็เลยนำให้ทุกๆได้อ่านกันหวังว่าจะนำไปใช้ในการสอบได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ.2536
1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หมายความว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก หรือเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎไทย แล้วแต่กรณี
2. ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามระเบียบนี้การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้เริ่มจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย มีจำนวน 8 ชั้นตรา และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก มีจำนวน 8 ชั้นตรา สลับกัน โดยเลื่อนชั้นตราตามลำดับจากชั้นล่างสุดจนถึงชั้นสูงสุดตามลำดับ ดังนี้
1. ชั้นที่ 7 เหรียญเงินมงกุฎไทย ( ร.ง.ม. )
2. ชั้นที่ 7 เหรียญเงินช้างเผือก ( ร.ง.ช. )
3. ชั้นที่ 6 เหรียญทองมงกุฎไทย ( ร.ท.ม.)
4. ชั้นที่ 6 เหรียญทองช้างเผือก (ร.ท.ช.)
5. ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.)
6. ชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.)
7. ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย (จ.ม.)
8. ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)
9. ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
10. ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์ช้างเผือก (ต.ช.)
11. ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย (ท.ม.)
12. ชั้นที่ 2 ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)
13. ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม)
14. ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
15. ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
16. ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
โดยให้พิจารณาถึงตำแหน่ง ระดับ ชั้น ชั้นยศ กำหนดระยะเวลา และความดีความชอบ เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในระเบียบนี้
การเลื่อนขั้นเงินเดือน
การพิจารณาการเลื่อนขั้นเงินเดือนซึ่งจะนำไปใช้ในการสอบดังนี้กฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือน 2544ปีงบประมาณ เลื่อนขั้นเงินเดือน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ( ครึ่งปีแรก ) 1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม ให้เลื่อนขั้นในวันที่ 1 เมษายนครั้งที่ 2 ( ครั้งปี หลัง) 1 เมษายน ถึง 30 กันยายน ให้เลื่อนขั้นเงินเดือนในวันที่ 1 ตุลาคมหลักเกณฑ์การลาบ่อยครั้งและมาทำงานสาย1. การลาบ่อยครั้ง- ข้าราชการปฏิบัติงานตามโรงเรียน ลาเกิน 6 ครั้ง- ข้าราชการปฏิบัติงานตามสำนักงาน ลาเกิน 8 ครั้ง**
ข้าราชการที่ลาเกินครั้งที่กำหนด ถ้าวันลาไม่เกิน 15 วัน และมีผลงานดีเด่นอาจผ่อนผันให้เลื่อนเงินเดือนได้********2. มาทำงานสายเนื่องๆ- ข้าราชการปฏิบัติงานตามโรงเรียน มาทำงานสายเกิน 8 ครั้ง- ข้าราชการปฏิบัติงานตามสำนักงาน มาทำงานสายเกิน 9 ครั้ง*********
ข้าราชการครูที่ลาบ่อยครั้ง / มาทำงานสายเนืองๆไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน************
การแบ่งกลุ่มพิจารณา
- กลุ่มข้าราชการในสถานศึกษา- กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา
- กลุ่มที่ปฏิบัติงานใน สพท.- กลุ่มระดับ 9 ขึ้นไป ส่งไปให้กรมประเมินให้การประเมินประสิทธิภาพ- ผอ.โรงเรียนประเมินครูในโรงเรียน- ผอ.เขต ประเมินผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน- ผู้ประเมินและรับการประเมินตกลงร่วมกันในรายละเอียดการประเมินแบ่งการประเมิน ดังนี้
- ผลการประเมินดีเด่น ได้คะแนนประเมินไม่ต่ำกว่า 90-100% อยู่ในเกณฑ์ ได้เลื่อนขั้น 1 ขั้น- ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับได้ ได้รับคะแนนประเมินไม่ต่ำกว่า 60-89% อยู่ในเกณฑ์ ได้เลื่อนขั้น 0.5 ขั้น- ผลการประเมินต้องปรับปรุง ระดับคะแนนประเมินต่ำกว่า 60% ไม่ควรเลื่อนขั้นเงินเดือนการตั้งคณะกรรมการพิจารณา- คณะกรรมการส่วนกลาง- ระดับ สพฐ.
- ระดับเขตพื้นที่การศึกษา
- ระดับสถานศึกษา
- ผู้บริหารสถานศึกษา
ประธานกรรมการ- รองผู้อำนวยการสถานศึกษา กรรมการ(ถ้ามี)
- ผู้แทนหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้จำนวน 1-4 คน กรรมการ
- ผู้แทนข้าราชการครูในสถานศึกษา จำนวน 1-4 คน กรรมการประธานเลือกกรรมการคนใดคนหนึ่งเป็นเลขานุการบัญชีรายละเอียดเพื่อพิจารณาเงินเดือน มี 5 บัญชี ดังนี้หมายเลข 1 บัญชีผู้ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน 1.5 ขั้น ใช้เฉพาะการเลื่อนขั้นเงินเดือนครั้งที่ 2 ( 1 ตุลาคม ) เท่านั้นหมายเลข 2 ผู้ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน 1 ขั้นหมายเลข 3 ผู้ได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน 0.5 ขั้นหมายเลข 4 ผู้ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนหมายเลข 5 บัญชีแสดงการสำรองวงเงินเลื่อนขั้นเงินเดือนวันนี้พอแค่นี้ก่อนสรุปได้แค่นี้ คงมีประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ามีประโยชน์ก็ส่งผลบุญมาให้บ้างละกันนะขอรับ บ๊ายบาย
สรุปเกี่ยวกับการลา(2)
รายละเอียดของการลาแต่ละประเภทก็แล้วกันนะขอรับ..........
การลาป่วยให้เสนอจัดส่งใบลาก่อนหรือในวันที่ลา เว้นกรณีจำเป็นเสนอส่งใบลาในวันที่ปฏิบัติการได้ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถลงชื่อในใบลาได้ ให้ผู้ยื่นลงชื่อแทนได้ แต่ถ้าสามารถเขียนได้ให้ส่งใบลาโดยเร็ว
การลาป่วยตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองแพทย์การลาคลอดบุตรให้ส่งใบลาก่อนหรือในวันที่ลา ลงชื่อไม่ได้ให้ผู้อื่นลงแทนได้ ลงชื่อได้จัดส่งใบลาโดยเร็ว
สิทธิในการลาคลอดบุตรได้ 90 วัน โดยได้รับเงินเดือนโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ อัตราจ้างสามารถลาได้ 45 วันทำการ โดยได้รับเงินเดือน อีก 45 วันให้รับการประกันสังคมข้าราชการที่
ลาเลี้ยงดูบุตร มีสิทธิลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรต่อเนื่องจาการลาคลอดบุตร ไม่เกิน 30 วันทำการ โดยได้รับเงินเดือน ถ้าประสงค์จะลาต่ออีกลาได้อีกไม่เกิน 150 ทำการโดยไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนลากิจส่วนตัว + เลี้ยงดูบุตรได้ปีละไม่เกิน 45 วันทำการก
ารลากิจส่วนตัวแม้ยังไม่ครบกำหนด ผู้บังคับบัญชาสามารถเรียกมาปฏิบัติราชการก็ได้การลาคลอดบุตร คาบเกี่ยวกับการลาประเภทใดให้ถือว่าการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลงและนับเป็นการลาคลอดบุตรต่อการลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถเรียกมาปฏิบัติราชการได้การลากิจส่วนตัวการลากิจส่วนตัว ต้องส่งใบลาก่อนเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงหยุดราชการได้ เว้นแต่เหตุจำเป็นให้หยุดราชการไปก่อนและชี้แจ้งเหตุผลให้ทราบโดยเร็ว ถ้ามีเหตุพิเศษไม่อาจปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมาให้เสนอจัดส่งใบลาพร้อมชี้แจงเหตุผลในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการลากิจไม่เกิน 45 วันทำการ/ปีการลาพักผ่อนประจำปี ( ไม่ใช่ลาพักร้อน )ข้าราชการปีหนึ่งลาพักผ่อนได้ 10 วันทำการ เว้นแต่ข้าราชการต่อไปนี้ รับราชการยังไม่ถึง 6 เดือน- ในกรณีบรรจุครั้งแรก
- ลาออกจากราชการเพราะเหตุส่วนตัว
- ลาออกเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเลือกตั้งในปีใดที่ข้าราชการไม่ได้ลาพักผ่อนลาไม่ครบ 10 วันทำการ ให้สะสมวันลาที่ยังไม่ลาในปีนั้นรวมกับปีต่อไปได้ แต่ไม่เกิน 20 วันทำการรับราชการมาแล้วติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 ปี สามารถลาพักผ่อนสะสมไม่เกิน 30 วันทำการข้าราชการที่ปฏิบัติราชการในโรงเรียน มีวันหยุดภาคเรียน หากได้หยุดราชการตามวันหยุดภาคการศึกษาเกิดกว่าลาพักผ่อน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อนได้
การลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัทย์ให้ส่งใบลาขออนุญาตต่อเลขา กพฐ. ( ส่งใบลาให้ผอ.ร.ร.ก่อนไม่น้อยกว่า 60 วัน )ได้รับอนุญาตแล้วต้องอุปสมบทหรือออกเดินทาง ภายใน 10 วันกลับมารายงานตัวภายใน 5 วัน นับตั้งแต่ลาสิขา หรือเดินทางกลับถึงเมืองไทยลาบวชได้ไม่เกิน 120 วัน
การลาตรวจเลือก หรือเข้ารับการเตรียมพลคำว่าตรวจเลือก เรียกว่าคัดทหาร การลาตรวจเลือก ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชา ไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง นับแต่ได้รับหมายเรียกโดยไม่ต้องรอคำสั่งอนุญาต ถ้าพ้นจากการตรวจเลือกจะต้องปฏิบัติราชการภายใน 7 วันเตรียมพล เมื่อได้รับใบแดงจะต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบภายใน 48 ชั่วโมงออกจากทหาร ขอเข้ารับราชการภายใน 180 วันการลาศึกษา ฝึกอบรม ศึกษาปฏิบัติงานวิจัยผู้มีอำนาจอนุญาต คือ เลขา กพฐ. ( ในประเทศ มอบให้ ผอ.สพท. ต่างประเทศ เลขา กพฐ. )
การลาไปปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศผู้มีอำนาจอนุญาตคือ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด โดยไม่ได้รับเงินเดือน มี 2 ประเภท1. ประเภทที่ 1 ไม่เกิน 4 ปี- ประเทศไทยเป็นสมาชิก
- รัฐบาลมีข้อผูกพัน ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
- ส่งไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ2. ประเภทที่ 2 ไม่เกิน 2 ปี
- รับราชการไม่น้อยกว่า 5 ปี ยกเว้น สหประชาชาติไม่น้อยกว่า 2 ปี
- อายุไม่เกิน 52 ปี และไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยการลาติดตามคู่สมรสไปปฏิบัติงานต่างประเทศผู้อนุญาต คือ เลขา กพฐ. ลาได้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าจำเป็นลาต่ออีกได้ 2 ปี รวมเวลา 4 ปี ถ้าเกินให้ลาออกผู้มีอำนาจอนุญาตในการลาผู้บริหารสถานศึกษา มีอำนาจอนุญาตการลาของผู้ใต้บังคับบัญชาดังนี้
- ลาป่วย ครั้งหนึ่งไม่เกิน 60 วันทำการ
- ลาคลอด ครั้งหนึ่งไม่เกิน 90 วันทำการ
- ลากิจส่วนตัว ครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 วันทำการ
สรุปเกี่ยวกับการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
การบริหารงานบุคคล วันนี้ ครูสุโขทัย ได้สรุปเกี่ยวกับการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับผู้ที่มีความสนใจนะขอรับสรุปเกี่ยวกับการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา1. การบังคับใช้1) ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการครู ยกเว้นข้าราชการทหารและข้าราชการท้องถิ่น2) ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรักษาระเบียบนี้3) กรณีที่ไปช่วยราชการหากต้องการลาก็ขออนุญาตผู้บังคับบัญชาหน่วยงานที่ไปช่วยราชการแล้วให้ หน่วยงานนั้นแจ้งให้ต้นสังกัดทราบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
2. การนับวันลา
1) ให้นับตามปีงบประมาณ
2) การนับวันลาที่นับเฉพาะวันทำการ
คือ - การลาป่วย ( ธรรมดา )
- การลากิจส่วนตัว
- การลาพักผ่อน
3) ข้าราชการที่ถูกเรียกกลับระหว่างลาให้ถือการลาหมดเขตเพียงวันก่อนเดินทางกลับและวันราชการ เริ่มนับตั้งแต่วันเดินทางกลับ
3. การลาครึ่งวันในการลาครึ่งวันในตอนเช้า หรือตอนบ่ายให้นับการลาเป็นครึ่งวันการลาให้ใช้ใบลาตามแบบ แต่กรณีจำเป็นหรือรีบด่วนจะใช้ใบลาตามวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องส่งใบลาตามแบบวันในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ
- ข้าราชการที่ประสงค์จะไปต่างประเทศระหว่างลา หรือวันหยุดราชการให้เสนอขออนุญาตต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงอธิบดี ( เลขา กพฐ. )
- ข้าราชการส่วนภูมิภาค ขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย ขออนุญาตต่อผู้ว่าราชการจังหวัดครั้งหนึ่งไม่เกิน 7 วัน หรือนายอำเภอไม่เกิน 3 วัน
- ข้าราชการผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติงานราชการได้ เนื่องจากพฤติกรรมพิเศษ เช่น ฝนตกหนัก ถนนขาด ถูกจับเรียกค่าไถ่ โดยเกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไป หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับบุคคลนั้นไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุขัดขวางไม่สามารถมาปฏิบัติราชการได้ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ จนถึงอธิบดี ( เลขา กพฐ. ) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด
( สำหรับข้าราชการส่วนภูมิภาค)ทันทีที่มาปฏิบัติราชการได้ ถ้าอธิบดี พิจารณาว่าเป็นจริง ไม่นับเป็นวันลา ถ้าไม่จริงให้นับเป็นลากิจส่วนตัว********** ข้าราชการครูสังกัด สพฐ. เป็นข้าราชการส่วนกลาง***********
4. ประเภท ของการลามี 9 ประเภท ดังนี้
1. ลาป่วย
2. ลาคลอดบุตร
3. ลากิจส่วนตัว
4. ลาพักผ่อนประจำปี
5. ลาไปอุปสมบทหรือประกอบพิธีฮัทย์
6. ลาตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
7. ลาศึกษาต่อ ศึกษาอบรมดูงาน หรือปฏิบัติงานวิจัย
8. ลาไปปฏิบัติงานในองค์กรระหว่างประเทศ
9. ลาติดตามคู่สมรสไปต่างประเทศ
ที่มาhttp://krusukhothai.blogspot.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)